fbpx

Posts Tagged care under fire

อุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคล IFAK เพื่อฉก.นย.ทร.

เหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้โดยเฉพาะพื้นที่รับผิดชอบ ของกองพันทหารราบที่ 9 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน ทั้ง 5 อำเภอ 2 จังหวัด คือ อ.ไม้แก่น และ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี และ อ.เมือง, อ.ยี่งอ และ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เป็นพื้นที่ที่มีการปะทะและเกิดความรุนแรงขึ้นบ่อยครั้ง

และทุกครั้งกองพลนาวิกโยธิน ได้ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ในการป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้าย และการก่อความไม่สงบทุกรูปแบบในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราได้รับรู้รับทราบและคอยติดตามอยู่เสมอ เช่นครั้งที่มีเหตุปะทะที่ฐานส้มป่อย วันที่ 9 มี.ค. 55 เราได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้บาดเจ็บ ซึ่งต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากจุดเกิดเหตุและนำส่ง เจ้าหน้าที่พยาบาลบอกกับเราว่า

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2555 เวลาประมาณ 0010 นาฬิกา กลุ่มผู้ก่อความรุนแรง(ผกร.) เข้าโจมตีฐานปฏิบิติการบ้านส้มป่อย สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ( ติดตามข่าวได้จากสื่อต่างๆ) ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บรวม 12 นาย ไม่มีการสูญเสียกำลังพล มีผู้บาดเจ็บสาหัสเป็นทหารนายหนึ่ง ถูกยิงเข้าใต้กระดูกไหปลาร้าซ้าย ทะลุปอดซ้าย

ผมเป็นหัวหน้าพยาบาลเข้าช่วยเหลือ ณ ที่เกิดเหตุ นำส่ง รพ.บาเจาะ แพทย์ได้รักษาเบื้องต้นโดยเจาะระบายเลือด-ลมจากช่องปอด และส่งรักษาต่อที่่ ร.พ.นราธิวาสฯ ขณะนำส่งมีแพทย์ทหารดูแลตลอดระยะทางประมาณ 40 ก.ม. เกิดการรั่วของผนึกสายระบายเลือด-ลม แพทย์ จึงใช้แผ่น HALO SEAL ซึงทางบริษัท ซี แอร์ ไทย จำกัด ได้บริจาคชุดอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินเชิงยุทธวิธีไว้ เมื่อ ปี ’54 ทำการปิด ป้องกันการรั่วก่อนนำเข้าผ่าตัดที่ รพ.นราธิวาสฯ ทำให้ทหารได้รับความปลอดภัย ปัจจุบันทหารพ้นขีดอันตราย รับการรักษาต่อเนื่องที่ ห้อง I.C.U.รพ.ในสังกัดกองทัพเรือ  แผ่น HALO SEAL ได้ผลดีมากครับ ผมขอเรียนขอบคุณ บริษัท ซี แอร์ ไทย จำกัด สำหรับอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินเชิงยุทธวิธีที่ท่านบริจาคให้

ในหลายๆเหตุการณ์ที่เราอาจจะนำมาเล่าไม่หมดนั้น แม้ว่ากำลังพลจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ทำให้นาวิกโยธินล่าถอย สิ่งที่เรากลับได้ยินจากปากนาวิกทุกท่าน ในวงสนทนาทุกครั้ง ทุกท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รุก รบ ร่น ไม่ถอย เพราะนาวิกโยธินถอยไม่เป็น” Thai Marines never give up!

ในวันนี้แม้เหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังไม่สงบก็ตาม เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะเป็นกำลังใจและสนับสนุนนาวิกโยธินและทหารทุกหน่วย ให้ยืนหยัดรักษาแผ่นดินไทย ไม่ว่าท่านจะอยู่แห่งหนตำบลใด ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบไป

ภาพด้านบน : พิธีรับมอบอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ณ ฉก.นย.ทร. วันที่ 23 เมษายน 2555 เวลา 15:55:53 น.

ที่มา http://www.rtmtf.com/modules.php?name=activeshow_mod&file=article&asid=1607

เสธ.เสธ.ฉก.นย.ทร. เป็นผู้แทน ผบ.ฉก.นย.ทร. รับมอบอุปกรณ์การปฐมพยาบาลประจำบุคคล ( IFAK ) ณ บก.ฉก.นย.ทร. ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส

เมื่อ ๒๓ เม.ย.๕๕ น.ท.นึกอนันต์ แสนอุบล เสธ.ฉก.นย.ทร. เป็นผู้แทน ผบ.ฉก.นย.ทร. รับมอบอุปกรณ์การปฐมพยาบาลประจำบุคคล ( Individual First Aid Kit: IFAK ) สำหรับเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตประจำกายในการปฐมพยาบาลขั้นต้น ในกรณีประสบเหตุฉุกเฉิน จากคณะผู้บริหาร บริษัท ซี แอร์ ไทย จำกัด จำนวน ๘ ชุด มูลค่าทั้งสิ้น ๖๔,๐๐๐ บาท เพื่อแจกจ่ายให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่รับผิดชอบของ ฉก.นย.ทร. ณ บก.ฉก.นย.ทร. ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส

Tags: , , , , ,

จากผงสู่ ผ้าก็อซห้ามเลือด QuikClot Combat Gauze

สารช่วยห้ามเลือด เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ ของหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ แต่ยังมีข้อมูลที่ผิดพลาดมากมาย ในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งเราได้รวบรวมและนำเสนอในบทความนี้ครับ ผู้ผลิตอุปกรณ์ห้ามเลือด ยี่ห้อที่เรารู้จักกันดี คือ Quikclot (Gen 1) เป็นผงห้ามเลือดรุ่นแรกๆ ที่เมื่อผลิตออกมาถือว่าเป็นสารห้ามเลือดรุ่นใหม่ เรียกได้ว่าทันสมัย และมีใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ตามรายงานการวิจัยในปี 2003 ระบุว่ามันใช้งานได้ผลดี และได้ผ่านการรับรองให้ใช้ในหน่วยทหารของกองทัพสหรัฐฯ ที่ประจำการในประเทศอริคและอัฟกันนิสถาน

Original QuikClot, QuikClot ACS+, QuikClot Combat Gauze, and CELOX

Original QuikClot, QuikClot ACS+, QuikClot Combat Gauze, and CELOX

หลังจากนั้นมา ก็มีสารห้ามเลือดแบบอื่นๆผลิตขึ้น บางชนิดก็ได้ผล บางชนิดก็มีปัญหาจนเลิกผลิตไป สารห้ามเลือดเหล่านี้ มีหลักการทำงานที่อธิบายง่ายๆคือ มันจะช่วยเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้เส้นเลือดเกิดการแข็งตัว แต่จะให้ได้ผลชัดเจน จะต้องสัมผัสกับเส้นเลือดใหญ่โดยตรง ซึ่งความดันในเส้นเลือดนั้นมีสูง และถ้าไม่สัมผัสให้โดนเส้นเลือดจริงๆ ประสิทธิภาพในการห้ามเลือดจะลดลง หรือไม่ได้ผลเต็มที่

สารห้ามเลือดในรูปของแผ่นห้ามเลือด ถูกผลิตออกมาหลังจากผงห้ามเลือดมีใช้งานอย่างแพร่หลาย บางยี่ห้อใช้ไคโตซาน(สารสกัดจากเปลือกนอกของสัตว์ เช่น เปลือกหอย, ปู หรือกุ้งฯ) เป็นสารตั้งต้น ซึ่งอาจมีความเสี่ยง หากผู้บาดเจ็บแพ้อาหารทะเล โดยทำออกมาในลักษณะแผ่น เช่น ยี่ห้อ Hemcon, Sea Shell ซึ่งนำมาใช้งานในภาคสนามได้ยาก เพราะในการสัมผัสกับเส้นเลือดใหญ่ได้นั้น ผู้ใช้จะต้องหักออกเป็นชิ้นๆ และกดแผ่นที่หักนั้นลงให้ตรงจุดที่เส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด ซึ่งต้องทำในสภาพแวดล้อม อย่างในโรงพยาบาลจึงจะเหมาะสม อย่าลืมว่าการใช้งานแผ่นห้ามเลือดเหล่านี้ ต้องสัมผัสให้โดนเส้นเลือดใหญ่จริงๆ และต้องออกแรงกดไว้อย่างน้อย 5 นาที

ดังนั้นสารห้ามเลือดรุ่นล่าสุด จึงมีการพัฒนาให้บรรจุอยู่ในรูปแบบของผ้าก็อซ เพื่อให้ได้ผลดี และใช้ในงานภาคสนามได้ทันที ผ้าก็อซที่บรรจุสารห้ามเลือด จึงถูกผลิตขึ้นเพื่อให้เอื้อต่อการใช้งาน ที่ผู้บาดเจ็บยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อันตราย โดยสามารถกดลงบนบาดแผลได้ง่ายกว่า สารห้ามเลือดในรูปแบบอื่นๆ สารห้ามเลือดแบบผงนั้น จะต้องเทลงบนบาดแผล แล้วจึงเอาผ้าพันแผลมาพันหรือกดทับลงไป ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกัน 2 ชนิด หากใช้งานในระหว่างที่ทหารถูกปะทะ ภายใต้สภาวะกดดันในสนามรบ และเสี่ยงต่อความเป็นความตาย การใช้ผงห้ามเลือดหรือแผ่นห้ามเลือด จะเป็นการยากต่อการปฏิบัติ

CELOX Hemostatic Granules

CELOX Hemostatic Granules

ในปัจจุบันกองท้พสหรัฐฯ (US Military) ได้บรรจุ QuikClot Combat Gauze ให้เป็นสารห้ามเลือดชนิดเดียว ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้งานกับทหาร Combat Gauze ออกมาแก้ปัญหาเดิมของผลิตภัณฑ์ QuikClot ในรุ่นแรกๆอย่างสิ้นเชิง โดยในรุ่น Gen 1 ของ Quikclot ของเดิมนั้น อยู่ในรูปของผงห้ามเลือด และเมื่อสัมผัสกับแผลจะเกิดความร้อน และผงดังกล่าวอาจปลิวเข้าตา และทำอันตรายต่อดวงตา ไม่เหมาะจะใช้งานโดยเฉพาะการนำส่งผู้บาดเจ็บทางอากาศยาน ออกจากจุดเกิดเหตุ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อดวงตานักบินได้

QuikClot รุ่นแรกๆในรูปแบบผงห้ามเลือดนั้น ใช้ผงแร่ ‘Zeolite’ ในการผลิตผงห้ามเลือด (เราอาจจะเคยเห็นภาพการใช้งาน จากหนังเรื่อง Shooter ซึ่งเป็นการเทลงบนแผล โดยไม่มีการกด บอกเลยครับว่า ดูหนังเอาสนุกได้ครับ แต่นั่นเป็นการใช้งานผิดวิธี อย่าลอกเลียนแบบนะครับ), ในรุ่นที่สอง QuikClot ACS+ ได้เปลี่ยนมาเป็นผง ที่มีอนุภาคใหญ่ขึ้น และบรรจุผงนั้นไว้ใน “ถุงตาข่าย” แทนที่จะบรรจุลงซองเพียงอย่างเดียว โดยใช้ถุงนี้เป็นตัวกดลงบนแผลให้แน่นยิ่งขึ้น, ในรุ่นที่สาม QuikClot Combat Gauze ซึ่งเป็นการนำสารเร่งการแข็งตัวของเลือด ‘Kaolin’ มาบรรจุลงบนผ้าก็อซ ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการห้ามเลือดได้ดี เท่ากับผงห้ามเลือด แต่ไม่ทำปฏิกิริยาความร้อน และไม่ส่งผลข้างเคียงในการใช้งาน QuikClot Combat Gauze จึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ และผ่านการอนุมัติให้ใช้อย่างแพร่หลาย ในกองทัพสหรัฐเพื่อการห้ามเลือดจากเส้นเลือดใหญ่อยู่ในขณะนี้

QuikClot ACS+

QuikClot ACS+

QuikClot Combat Gauze รุ่นใหม่ บรรจุในซองสูญญากาศ และมีขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถเก็บในกระเป๋าอุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคลได้อย่างไม่เทอะทะ ไม่ต้องกลัวหักแบบแผ่นห้ามเลือด หรือเป็นผงปลิวเลอะเทอะในระหว่างใช้งาน แบบผงห้ามเลือด ผ้าก็อซเรียงตัวกันแบบพับทบตัว Z จึงไม่จำเป็นต้องแกะก็อซออกจากม้วนก่อน แล้วจึงกดลงในบาดแผล ทำให้สามารถฉีกซองพร้อมใช้งานได้รวดเร็วทันที

และเนื่องจากต้องกดและสัมผัสลงในบาดแผล QuikClot Combat Gauze ยังมีแถบสีแสดงผลในฟิล์มเอ๊กซเรย์ เพื่อช่วยให้การล้างทำความสะอาดแผลได้อย่างหมดจดและปลอดภัย เมื่อผู้บาดเจ็บถูกส่งถึงโรงพยาบาล จึงไม่มีโอกาสที่ก็อซจะตกค้างอยู่ในแผลในระหว่างการผ่าตัด

QuikClot Combat Gauze ผ่านการอนุมัติจาก FDA องค์การอาหารและยา ทั้งในประเทศอเมริกาและ FDA ประเทศไทย วางจำหน่ายแล้วที่ Safe House ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาติโดยตรงจากผู้ผลิตครับ เพื่อความปลอดภัยของท่าน โปรดตรวจดูวันหมดอายุของอุปกรณ์ การเก็บรักษาที่ถูกวิธี และในอุณหภูมิที่เหมาะสม หรือซื้อจากตัวแทนจำหน่าย ที่สามารถตรวจสอบคุณภาพสินค้าได้ เพื่อยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เป็นของใหม่ และปลอดภัยต่อการใช้งานครับ

หวังว่าข้อมูลของสารห้ามเลือดรุ่นใหม่นี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ให้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยชีวิตคุณและคนที่คุณรัก ได้อย่างปลอดภัยครับ

Tags: , , , , , , , , ,

ผ้าอนามัย กับความเข้าใจผิดในการห้ามเลือด

บ่อยครั้งที่มีการพูดคุย ถึงเรื่องการปฐมพยาบาลห้ามเลือดภาคสนาม สิ่งที่เราจะได้ยินคนพูดถึงเสมอ คือ การใช้ผ้าอนามัยห้ามเลือดแทนผ้าก๊อซ ซึ่งเป็นการหาอุปกรณ์ใกล้ตัว ทดแทนอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ควรจะมี จนกลายเป็นความเข้าใจ ในการห้ามเลือดที่ผิดพลาด เนื่องจากใช้อุปกรณ์ผิดประเภท เพราะผ้าอนามัยและผ้าก๊อซนั้น ออกแบบมาเพื่อการใช้งานต่างกันโดยสิ้นเชิง

ผ้าก๊อซ (Gauze) ถูกออกแบบเพื่อหยุดการไหลของเลือด โดยมี 2 คุณสมบัติ คือ

  1. ก๊อซ มีใยผ้าประสานกัน เป็นพื้นผิวสัมผัสแบบโครงข่าย ทำหน้าที่ช่วยให้เกล็ดเลือด (Platelets) ได้ยึดเกาะ ทำให้เลือดแข็งตัว (Clot) ได้ง่าย
  2. ช่วยเพิ่มแรงกดไปที่บาดแผล ทำให้เลือดนั้นไหลช้าลง ช่วยให้เกล็ดเลือดแข็งตัว ขึ้นปิดบาดแผลได้เร็วขึ้น

ส่วนผ้าอนามัย (Sanitary Pad) นั้น มีคุณสมบัติแตกต่างจากผ้าก๊อซโดยสิ้นเชิง เพราะถูกออกแบบให้ดูดซับ เอาเลือดส่วนเกินออกจากร่างกาย ไปเก็บไว้ภายในแผ่นดูดซับ เพื่อให้ผู้สวมใส่รู้สึกแห้งสบาย อันเป็นสิ่งที่คุณสมบัติการห้ามเลือดไม่ต้องการ เนื่องจากผ้าอนามัยนั้น มีจุดมุ่งหมายเดียว คือการทำให้ผิวสัมผัสด้านบนแห้ง ไม่เลอะเทอะ มันจึงไม่สามารถทำให้เกล็ดเลือด แข็งตัวกันบนบาดแผลได้ง่าย แต่กลับไปแข็งตัวอยู่ในแผ่นเจลดูดซับแทน ซึ่งหากเป็นบาดแผลเล็กน้อยจากเส้นเลือดฝอยก็ไม่เท่าไหร่

แต่ในกรณีเส้นเลือดใหญ่ฉีกขาด หรือแผลฉกรรจ์ หากใช้ผ้าอนามัยซับเลือดแล้ว ผู้บาดเจ็บจะยังคงเสียอยู่ และซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งจะเป็นการเร่งให้เลือด ถูกดูดออกจากบาดแผลมากขึ้นเสียอีก

ดังนั้นผู้ใช้จึงควรทำความเข้าใจว่า อุปกรณ์การแพทย์ชนิดต่างๆนั้น ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ และควรใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะผ้าอนามัยนั้น เหมาะที่จะพกพาไว้ในกระเป๋าสุภาพสตรี และควรนำผ้าก็อซที่มีเส้นใยคุณภาพดี หรือผ้าก็อซผสมสารห้ามเลือด Combat Gauze มาใช้กับบาดแผลในสนามรบจะเหมาะสมกว่า

หากคุณสงสัยว่า ยังมีสิ่งใดที่ควรทำ และไม่ควรทำ ในการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บจากการรบ หรือบาดแผลจากอาวุธปืน Safe House เปิดรับสมัครผู้เข้ารับการอบรม การปฐมพยาบาลบาดแผลที่เกิดจากอาวุธปืน ให้กับผู้ที่สนใจ โดยวิทยากร Tactical Medic โดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากความรู้ในชั้นเรียนแล้ว ผู้เข้าอบรมจะได้รับอุปกรณ์ปฐมพยาบาลภาคสนาม ที่ทันสมัยและได้รับการยอมรับ ในหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอีกด้วย ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้แล้ววันนี้ครับ

Tags: , ,

Care Under Fire รักษาผู้บาดเจ็บในระหว่างปะทะ อย่างไร

หนทางรอดชีวิตที่ดีที่สุดในสนามรบ คือ กำจัดศัตรูก่อนที่จะมีการบาดเจ็บสูญเสีย

ในบทความที่แล้ว เราพูดถึงผ้าพันแผลผสมสารห้ามเลือด Combat Gauze ว่าเป็นอุปกรณ์ห้ามเลือดภาคสนามที่มีประสิทธิภาพสูง พิสูจน์แล้วทั้งในห้องปฏิบัติการณ์ และในสนามรบจริง โดยกองทัพสหรัฐฯได้จัดให้เป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคล ให้กับทหารราบใช้ประจำตัวในสนามรบ สำหรับกรณีการบาดเจ็บและเสียเลือดอย่างรุนแรง แล้วถ้ามันดีที่สุดจริงๆในการห้ามเลือด ทำไมเรายังเห็นทหารใช้ทูนิเก้กันอยู่ล่ะ?

จากประสบการณ์ในการรบของกองทัพสหรัฐที่โซมาเลีย ได้เปลี่ยนหลักคิดและการปฏิบัติ เรื่องการปฐมพยาบาลผู้ป่วยในสนามรบ โดยนำบทเรียนการรบชั่วระยะเวลาการปะทะแค่ 15 ชม. ที่ทำให้เสียกำลังพลไปถึง 19 นาย บาดเจ็บอีก 84 นาย ซึ่งในจำนวนนั้น เป็นหน่วยรบพิเศษจากชุด Delta force อีก 6 นาย มาเป็นการดูแลผู้ป่วยในสนามรบ (Tactical Combat Casualty Care – TCCC) โดยแบ่งขั้นตอนออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ

  • การดูแลในระหว่างการปะทะ Care Under Fire
  • การดูแลผู้บาดเจ็บก่อนนำส่้ง Tactical Field Care
  • การเคลื่อนย้ายและนำส่งผู้บาดเจ็บ Tactical Evacuation (TacEvac / CasEvac / MedEvac)

เมื่อวิเคราะห์จากเหตุการณ์ในอดีต นักวิจัยพบว่าทั้ง 3 ขั้นตอนนั้น มีสถานการณ์และการรักษาผู้บาดเจ็บ ที่ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง

ในหลักการรักษาของทีมกู้ชีพ (EMS) สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำให้แน่ใจว่า ที่เกิดเหตุนั้นปลอดภัยแล้ว ก่อนการเข้าช่วยเหลือที่บาดเจ็บ แต่ในการรบนั้น เราไม่มีทางเลือก การรักษาจำเป็นต้องเกิดขึ้นแม้ขณะที่เกิดการยิงปะทะกันอยู่ เพราะไม่สามารถรอได้ ดังนั้นการรักษาพยาบาลในแบบปกติของทีมกู้ชีพ หรือในโรงพยาบาล จึงไม่สามารถทำได้เลยในสนามรบ เพราะหากใช้หลักการเดียวกัน ผู้ที่บาดเจ็บอาจจะถูกยิงซ้ำ หรือโชคร้ายก็เป็นทีมแพทย์เอง ที่อาจได้รับบาดเจ็บอีกด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในโซมาเลีย เพราะแพทย์สนามที่จบการรักษาแบบเดียวกับที่สอนในทีมกู้ชีพ (EMS) นั้นถูกยิงตาย ในขณะที่กำลังช่วยเหลือเพื่อนทหารของเขาอยู่

จุดเกิดเหตุในสนามรบ ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ

แล้วอุปกรณ์ห้ามเลือดมีความสำคัญอย่างไร? นักวิจัยพบว่า วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาชีวิตทหารในสภาวการณ์รบ คือ การยิงฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นสภาพเสียก่อน ยิ่งจัดการฝ่ายตรงข้ามได้เร็วเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น ทหารที่ถูกยิงจำต้องใช้ทูนิเก้รัดห้ามเลือด หรือชะลอการเสียเลือดให้ได้มากที่สุดก่อน เพื่อทำให้เขากลับมาทำการตอบโต้ด้วยอาวุธของเขาได้ เพราะหากต้องใช้แพทย์สนามในทีม 1 คน มารักษาคนที่ถูกยิง นั่นหมายความว่า เราเสียกำลังในการยิงไปถึง 2 นาย หากต้องใช้เวลา 5 นาที ในการที่แพทย์สนามต้องกดหยุดเลือดด้วยผ้าพันแผลผสมสารห้ามเลือด นั้นหมายความว่า ในระหว่าง 5 นาทีนั้น ทหารสองคนนั้นไม่สามารถทำการตอบโต้ได้ ซึ่งมันเป็นการเสี่ยงเกินไป ในสนามรบที่อาจเกิดการสูญเสียเพิ่มเติม เพราะอำนาจการยิงที่ไม่เพียงพอ

ในปัจจุบัน มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิธีปฏิบัติ ในการดูแลผู้บาดเจ็บในสนามรบ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอุปกรณ์ทางทหารอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ปืนไรเฟิลประจำตัวทหาร เพราะหน้าที่หลักของทหาร คือการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามให้หมดในเวลาที่จำกัด 2.สายรัดห้ามเลือด (ทูนิเก้) เพราะเมื่อหลังจากเราถูกยิงเข้าแล้ว ทหารทุกนายจำเป็นต้องรักษาอาการเสียเลือด จากบาดแผลของตนเองให้เร็วที่สุด ซึ่งอุปกรณ์ที่เร็วที่สุดในการใช้งาน ก็คือ ทูนิเก้ เมื่อรัดแล้วเลือดจะแทบหยุดในทันที แล้วกลับไปยิงต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามต่อ จนกว่าจะหมดภัยคุกคาม และเมื่อทุกอย่างปลอดภัยแล้ว แพทย์สนามจึงจะเข้ามาจัดการ รักษาบาดแผลและนำส่งต่อไป เมื่อการปะทะจบลง การรักษาทางยุทธวิธี จึงจะเริ่มขึ้น

การดูแลผู้บาดเจ็บในสนามรบในขั้นนี้นั้น อาจจะดูเหมือนที่ EMS ทำ แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ โดยมุ่งการรักษาไปที่บาดแผล ที่สามารถทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิต มากกว่าจะเป็นขั้นตอนที่ใช้กันในการรักษาพยาบาลในสภาวะปกติ เพราะเจ้าหน้าที่แพทย์สนาม มีหน้าที่แบกปืนสู้กับข้าศึก และรักษาพยาบาลในเวลาเดียวกัน ต้องทำงานแข่งกับเวลา ในทุกๆนาทีที่เสียไปหมายถึง เปอร์เซ็นต์การรอดตายของผู้บาดเจ็บที่ต่ำลง และความเสี่ยงต่อการถูกข้าศึกโจมตีซ้ำอีก ซึ่งหมายถึงการละทิ้งคนเจ็บกลับไปต่อสู้อีกครั้ง

เราจะพูดถึงเรื่องของ TCCC อีกครั้ง ในตอนหน้าครับ ติดตามอ่านต่อนะครับ ในหัวข้อ “สิ่งที่ต้องทำในกระบวนการ TCCC”

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่  Safe house.

Tags: , , ,

สารห้ามเลือด อีกหนึ่งทางรอดของผู้บาดเจ็บ

เราได้พูดถึงความสำคัญของการใช้สายรัดห้ามเลือดหรือทูนิเก้ และบทเรียนอันแสนแพงของกองทัพสหรัฐฯ  ต่อพัฒนาการของทูนิเก้กันมาแล้ว ตอนนี้ปัญหาก็คือ แม้ว่าเรามีทูนิเก้ที่มีประสิทธิภาพและเรียนรู้ที่จะใช้มันแล้ว แต่หากสายรัดห้ามเลือดช่วยได้เพียง ชะลอการไหลของเลือดจากหัวใจไปยังบริเวณบาดแผล แต่หากเลือดยังคงไม่หยุดไหล ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอในการบาดเจ็บจากพื้นที่การรบ แล้วเราจะทำอย่างไร

ความยากในการห้ามเลือดจากเส้นเลือดแดง (Arterial) ซึ่งมีแรงดันสูงจากหัวใจโดยตรง มันมีสีแดงสดเพราะอุดมด้วยอ็อกซิเจน เพื่อไปหล่อเลี้ยงเซลส์ และมันไหลแรงเป็นจังหวะตามการเต้นของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบังคับให้มันหยุดสนิทได้ และถ้าเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้น ก็หมายความว่า แม้ว่าความแรงดันเลือดจากบาดแผลจะน้อยลง แต่ผู้บาดเจ็บยังคงเสียเลือดอย่างต่อเนื่องต่อไปอย่างช้าๆ

ตัวอย่างสารห้ามเลือด QuikClot Combat Gauze, ACS Sponge, Original QuikClot Powder, WoundStat และ Celox

แรงกดจากทูนิเก้นั้น ทำงานโดยอาศัยแนวคิดว่า ยิ่งแถบที่กดลงนั้นกว้างมากเท่าไหร่ แรงกดที่กระทำต่อเส้นเลือดก็ยิ่งลดลงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นอีกสาเหตุว่า ทำไมสายยางกลมๆเส้นเล็กๆ ถึงไม่สามารถหยุดเลือดที่ไหลจากเส้นเลือดใหญ่ได้ วิธีง่ายๆที่ใช้กันในกรณีที่ทูนิเก้อันแรกไม่ได้ผล ก็คือการใช้ทูนิเก้อันที่สองลงไปเหนืออันแรก เพื่อช่วยเพิ่มความกว้างของทูนิเก้ ซึ่งทำให้ได้แรงกดที่เพิ่มมากขึ้น เลือดก็จะหยุดง่ายขึ้น

จากเหตุผลและความเสี่ยงที่เลือกอาจไม่หยุดสนิทในคราวเดียวนี่เอง ทำให้กองทัพบกสหรัฐฯแนะนำให้ทหาร มีทูนิเก้อยู่ในชุดอุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคล คนละ 2 อัน เพื่อใช้ในสถานการณ์เลวร้ายที่เส้นเลือดใหญ่บริเวณขา (Femoral) ถูกตัดขาด ซึ่งเส้นเลือดที่มีขนาดราวๆนิ้วของเรานั้น หากจะหยุดเลือดให้ได้ผลเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากแรงดันที่สูงและกล้ามเนื้อต้นขา ก็เป็นจุดที่ต้องใช้แรงกดมาก หรือในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลฉกรรณ์ มากกว่าหนึ่งจุด อาจต้องใช้ทูนิเก้มากกว่าหนึ่งอันร่วมด้วย เรียกได้ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เพราะหากแก้ไม่ทัน นั่นหมายถึงชีวิตของทหารที่เราต้องเสียไปเพราะไม่ได้เตรียมการ

คิดต่อไปอีกว่า บาดแผลจากการรบอาจเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกาย ซึ่งบาดแผลนั้นๆอาจจะไม่สามารถใช้สายรัดห้ามเลือดหรือทูนิเก้ได้ เช่น บาดแผลบริเวณลำตัว, บริเวณหัวไหล่, โคนขา หรือ บริเวณศรีษะ แล้วจะทำอย่างไร กองทัพสหรัฐได้เริ่มประสบปัญหากับบาดแผลเหล่านี้ เมื่อครั้งปฏิบัติการณ์ โกธิค เซอร์เพ็นท์ ที่ประเทศโซมาเลีย ในปี 1993 (Gothic Serpent,Somalia 1993) เรื่องราวดังกล่าว ถูกนำมาถ่ายทอดในภาพยนต์เรื่อง “Black Hawk Down” ในฉากที่ทหารหน่วยจู่โจมรายหนึ่ง บาดเจ็บจากกระสุนปืนของฝ่ายตรงข้าม กระสุนนั้นตัดทำลายเส้นเลือดใหญ่บริเวณต้นขาสูงขึ้นไปทางเชิงกราน ในกรณีนี้ทูนิเก้ไม่สามารถใช้งานได้เลย แพทย์สนามในภาพยนตร์ได้พยายามใช้แคลมหนีบเส้นเลือดจากต้นขา (Femoral) ของผู้บาดเจ็บ ซึ่งต้องควงเข้าไปในเนื้อขา เพื่อหาเส้นเลือดให้เจอ ในความจริงผู้ทำการห้ามเลือดให้ผู้บาดเจ็บ คือเสนารักษ์ของหน่วยรบพิเศษ 18D ซึ่งการทำเช่นนี้ในชีวิตจริงได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ทางการแพทย์ ที่มีอุปกรณ์และได้รับการฝึกมาอย่างชำนาญ แต่ทหารข้างกายผู้บาดเจ็บเกือบ 100% ที่อาจจะต้องช่วยชีวิตเพื่อนร่วมรบ หรือแม้กระทั่งหัวหน้าหน่วยของเขาเอง มักจะไม่มีทั้งความรู้ทางการแพทย์และเครื่องมือแบบในหนัง แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้ผู้บาดเจ็บต้องช็อคตายไปต่อหน้าต่อตา…

สายรัดห้ามเลือด 2 เส้น ถูกใช้งานร่วมกัน เพื่อหยุดเลือดที่ไหลอย่างรุนแรง

ในกรณีเช่นนี้ สารห้ามเลือด Hemostatic Agents หรือสะกด Haemostatic Agent นั้น ถูกนำมาใช้เพื่อเร่งกระบวนการการแข็งตัวของเลือด ในบริเวณที่ไม่สามารถใช้สายรัดห้ามเลือดหรือทูนิเก้ได้ หรือกรณีที่การกดลงบนบาดแผลใช้ไม่ได้ผล สารห้ามเลือดยุคใหม่ที่ถูกนำมาใช้และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ QuickClot ซึ่งเป็นทั้งชื่อยี่ห้อและชื่อสินค้าในคราวเดียวกัน

QuickClot ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1984 หลังจากนั้น ได้มีการออกแบบสารช่วยห้ามเลือดอื่นๆตามมาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ Hemcon, Celox, WoundStat ฯ และก็เหมือนกับกรณีสายรัดห้ามเลือดเช่นกัน ที่ได้มีการทดลองทดสอบมากมายเพื่อหาว่า สารห้ามเลือดตัวใดจะเหมาะสมที่สุดในการใช้ปฐมพยาบาลในพื้นที่การรบ สำหรับ QuickClot รุ่นเก่านั้น มีปัญหาคือ มันเป็นสารออกฤทธ์ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งส่งผลข้างเคียงคือการไหม้ของเนื้อเยื่อบริเวณบาดแผล เกิดจากปฏิกริยาของสารห้ามเลือดกับของเหลวที่สัมผัส

ส่วนการศึกษาพบว่าสารห้ามเลือดที่มีสารตั้งต้นเป็นไคโตซาน อย่าง Hemcon, Chitoflex และ Celox รวมถึง Seashell ของโรงงานเภสัชกรรมทหารของบ้านเรานั้น ให้ผลการห้ามเลือดที่ดีมาก แต่ทว่าิ สารไคโตซาน ซึ่งผลิตจากเปลือกหอย,กุ้ง,ปูนั้น ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงในผู้บาดเจ็บบางราย ที่มีอาการแพ้อาหารทะเล ส่วน WoundStat นั้น ห้ามเลือดได้ดีเกินไป จนเกิดผลข้างเคียงให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ภาพการใช้งาน Combat Gauze ในการทดสอบ ห้ามเลือดจากโคนขาหนีบ

ในปัจจุบันสารห้ามเลือด หรือ Hemostatic Agent ที่ดีที่สุดในสนามรบก็คือ QuickClot  Combat Gauze ซึ่งถูกพัฒนาต่อมาจาก QuickClot เดิม โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแสบร้อน หรือรอยไหม้ของเนื้อเยื่อบนบาดแผลอีกแล้ว เนื่องจากการใช้สารห้ามเลือด จะต้องใช้ร่วมกับการใช้ผ้าก็อซกดลงบนบาดแผลอยู่แล้ว และสำหรับ QuickClot  Combat Gauze ได้รวมเอาสารห้ามเลือดเคลือบอยู่บนผ้าก๊อซพันแผล ไม่ใช่แบบผงเหมือนเก่า จึงใช้งานได้ง่ายกว่าสารห้ามเลือดแบบอื่นๆ ที่ต้องเทลงบนแผล

Combat Gauze นั้นเป็นผ้าพันแผลในตัว จึงช่วยลดขั้นตอนต่างๆ และใช้งานได้สะดวกและรวดเร็วกว่า การใช้งานก็ง่ายเช่นเดียวกับการใช้ผ้าก็อซ  จึงทำให้ QuickClot Combat Gauze เป็นสารห้ามเลือดเพียงชนิดเดียว ที่ได้รับการแนะนำจาก คณะกรรมาธิการแพทย์ฉุกเฉินทางยุทธวิธีแห่งสหรัฐอเมริกา (COTCCC) และเป็นสารห้ามเลือดชนิดเดียวในปัจจุบัน ที่กองทัพบกสหรัฐฯอนุมัติให้ใช้ในการรักษาทหารที่บาดเจ็บในการรบ เพราะใช้งานได้ง่าย เพียงฉีกซองแล้วกดลงบนแผลเพียง 5 นาทีหรือจนกว่าเลือดจะหยุดไหล ซึ่งจากการทดสอบนั้น Combat Gauze มีประสิทธิภาพสูงในการห้ามเลือด โดยสามารถหยุดการเสียเลือดรุนแรง จากการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ขา Femoral ซึ่งเป็นจุดที่ใช้อุปกรณ์อื่นๆแทบไม่ได้เลยในงานภาคสนาม

วิวัฒนาการในการรักษาผู้บาดเจ็บจากการรบ ยังไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ แม้ว่าปัจจุบันการแพทย์เชิงยุทธวิธีจะรุดหน้าไปมากแล้ว แต่การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในสนามรบ ก็ยังมีเรื่องใหม่ๆมาให้ศึกษา และพัฒนาอุปกรณ์ช่วยชีวิตในพื้นที่การรบ ให้ก้าวทันต่อการบาดเจ็บที่เกิดจากอาวุธและสงครามอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าสารห้ามเลือดมีราคาสูง แต่หากต้องใช้งาน นั้นหมายถึง การให้โอกาสรอดของชีวิตคนหนึ่งคน ที่กำลังอยู่ในภาวะเป็นตายเท่ากัน

ทีมงานและผู้เชี่ยวชาญของเรา มีประสบการณ์จัดอบรมการช่วยชีวิตในสภาวการณ์รบ ให้กับหลายหน่วยงานในประเทศไทย ติดต่อสอบถาม โดยส่งรายละเอียดผู้ติดต่อและหน่วยงาน มาได้ที่  Safe house ยินดีให้คำปรึกษาครับ

Tags: , , , , ,

สายรัดห้ามเลือด บทเรียนจากความตาย

หนึ่งในสายรัดห้ามเลือด ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

จุดเปลี่ยนที่ทำให้กองทัพสหรัฐฯ หันกลับมาทบทวนข้อผิดพลาด และแก้ไขปรับปรุงรูปแบบและขั้นตอนการช่วยชีวิตทหารในสนามรบให้รอดตาย คือเมื่อครั้งที่ทหารอเมริกันเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพ ในสงครามโซมาเลีย ทวีปแอฟริกา ช่วงปี 1993 การบาดเจ็บจากการถูกระเบิดแสวงเครื่อง และอาวุธร้ายแรงในระยะประชิด ดังที่เราได้เห็นกันในภาพยนต์ สงครามในโซมาเลียนั้น แตกต่างจากสงครามอื่นๆอย่างมากมายนัก การรบกันบ้านต่อบ้าน ประตูต่อประตู เป็นการรบที่โหดร้ายทารุณและกดดันเป็นอย่างยิ่ง

การรักษาพยาบาลด้วยวิธีการตามรูปแบบการปฐมพยาบาลในภาวะปกตินั้น ไม่สามารถช่วยให้ทหารรอดชีวิตในสภาวะการรบนอกแบบเช่นนี้ ดังนั้นคณะกรรมการการแพทย์ทหารได้ถูกจัดตั้งขึ้น หลังจากทนต่อความสูญเสียชีวิตทหารในขณะปฎิบัติการเป็นจำนวนมากเกินรับได้ ซึ่งเป็นการจัดตั้งชุดผู้ที่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ทางทหารจากหน่วยต่างๆ เพื่อค้นหาหนทางรักษาชีวิตทหารในสงครามยุคใหม่ และได้รายงานทางการแพทย์ออกมาในปี 2003 ก่อนหน้าที่ทหารอเมริกันจะถูกส่งเข้าสู่สงครามอิรัคได้เพียง 1 เดือน

ในรายงานระบุว่ากองทัพควรจัดสรรสายรัดห้ามเลือดหรือทูนิเก้ ให้เป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคล สำหรับทหารทุกนาย แต่โชคร้ายที่การเตรียมการดังกล่าวสายเกินไป ในขณะที่ทหารอีกมากมายต้องเดินเข้าสู่สงครามโดยปราศจากอุปกรณ์ห้ามเลือดที่ พวกเขาควรจะมี บางคนต้องแสวงเครื่องเพื่อทำสายรัดห้ามเลือดในนาทีวิกฤต ซึ่งหลายกรณีที่ไม่สามารถห้ามเลือดและหยุดการตายจากเหตุเสียไหลอย่างรุนแรงได้ และอีกหลายรายได้ต้องเสียชีวิตเพราะห้ามเลือดไม่ทันนั่นเอง
จนในที่สุดกองทัพบกสหรัฐฯ ได้ออกคุณลักษณะสายรัดห้ามเลือดหรือทูนิเก้ สำหรับใช้ในสภาวะการรบ โดยกำหนดจากน้ำหนัก, ขนาด และราคา โดยที่ทูนิเก้รุ่นแรกที่ออกมานี้ ไม่เคยได้รับการทดสอบอย่างเพียงพอ ต่อการใช้งานจริง ด้วยความต้องการให้ทหารทุกคนนั้นมีใช้อย่างเร่งด่วน ผลลัพท์ คือยังเกิดความล้มเหลวในการรักษาชีวิตทหารอยู่ดี  เพราะถึงแม้ว่าที่ฐานทัพส่วนหน้าจะมีโรงพยาบาลสนาม ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องมือผ่าตัดและทีมแพทย์มากมาย และมีการนำส่งสายแพทย์ทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์อย่างเร่งด่วน แต่ทหารที่ถูกยิงนั้น กลับเสียชีวิตก่อนที่จะกลับไปถึงมือแพทย์สนามได้ จากการเสียเลือดจากบาดแผลถูกยิงที่บริเวณแขน หรือขา หรือบาดแผลจากการระเบิด จำนวนมากจนตาย แม้จะมีการใช้ทูนิเก้ที่ได้รับแจกมาแล้วก็ตาม หรือบางรายใช้ทูนิเก้แสวงเครื่องเอาเอง แต่มันก็ไม่สามารถทำงานอย่างได้ผลในสถานการณ์จริง ซึ่งต่างจากการฝึกในสภาพที่ไม่มีการปะทะหรือกดดันจากข้าศึก ฝุ่นควัน เสียงระเบิด เสียงร้อง และความสับสนวุ่นวาย ปัจจัยต่างๆในสนามรบ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้การรักษาทหารที่บาดเจ็บ ไม่เป็นไปอย่างที่ได้รับการเรียนรู้มาจากห้องเรียนเลย

สายรัดห้ามเลือดรุ่นต่างๆ CAT Training, CAT, SOFT-Wide, SOFT Gen 2, SOFT Gen 1 Tourniquets

ดังนั้นกองทัพสหรัฐจึงได้เริ่มทำการวิจัยทูนิเก้แบบมาตรฐานขึ้นมา โดยมีการออกแบบภายใต้ข้อจำกัดต่างๆมากมายจากรายงานของทหารในสนามรบ ทั้งต้องมีขนาดที่เล็ก น้ำหนักที่เบา และใช้งานง่าย แม้จะใช้ (หรือว่ายังเหลือ) มือเพียงข้างเดียว ทูนิเก้ก็จะต้องใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทูนิเก้มาตรฐานนี้ได้รับการบรรจุอยู่ในรหัสอุปกรณ์มาตรฐานแห่งชาติ หรือ NSN และได้ถูกแจกจ่ายให้แก่ทหารสหรัฐทุกคน เพื่อการใช้ปฐมพยาบาลประจำบุคคลอย่างเร่งด่วน แต่ทว่าการออกแบบที่ผิดพลาดหรือการขาดความรู้ที่ถูกต้องในการใช้งานก็แล้วแต่ ทูนิเก้ที่ผ่านการวิจัยรุ่นแรกนั้น มีเปอร์เซ็นการรักษาที่ล้มเหลวสูงมากถึง 80% และก็ยังไม่สามารถห้ามเลือดอย่างได้ผลอยู่ดี ทำให้ทหารหลายนาย ต้องจบชีวิตลงจากความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องนี้จึงถูกนำไปเป็นปัญหาหลักของกองทัพสหรัฐ ซึ่งจัดลำดับเอาการรักษาชีวิตกำลังพล เป็นภารกิจหลักของกองทัพ โดยตั้งทีมพัฒนาและทุ่มเทการวิจัยสายห้ามเลือดรุ่นใหม่อย่างเร่งด่วนและรอบคอบกว่าเดิม เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา, งบประมาณและชีวิตไปอย่างสูญเปล่า จึงได้นำเอาทูนิเก้ที่กองทัพเรือสหรัฐได้พัฒนาล่วงหน้ามาก่อนแล้วในชื่อว่า COTS มาต่อยอด โดยไม่ต้องกลับไปงมเข็มแลกกับชีวิตทหารตัวเองอย่างที่แล้วมา
การทดลองนั้นได้เน้นไปที่ 2 ประเด็นหลัก คือ การทำให้ทูนิเก้สามารถลดอัตราการไหลของเลือดได้สูงถึง 75% ที่บริเวณแขนขาของผู้ป่วย และอีกประเด็นคือ ทหารต้องสามารถใช้มันได้อย่างถูกต้องภายใต้ความกดดันในสนามรบ ทูนิเก้ต้องมีแถบกว้างไม่ต่ำกว่า 1 นิ้ว เพื่อลดแรงตัดไปที่เส้นเลือดและเนื้อเยื่อของผู้ป่วย ซึ่งหากเนื้อตายจะเป็นสาเหตุให้ต้องตัดอวัยวะทิ้งภายหลัง การทดลองขั้นต่อมาคือ ต้องใช้วัสดุที่สามารถใช้งานได้ในสนามรบ มีทูนิเก้หลายแบบถูกวิจัยขึ้นมา แล้วพบว่าใช้งานได้ดี แต่ต้องโยนทิ้งไปภายหลัง เพราะมันไม่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมในสนามรบ เช่น สายยาง ท่อลาเท็กซ์ มันจะกรอบตัวลงหลังจากถูกแสง UV และความชื้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งทำให้มันขาดในเวลาที่ต้องมัดหรือขันเชนาะ เพื่อเพิ่มแรงกดให้เพียงพอบริเวณขาของผู้ป่วย ซึ่งแก้ไขโดยเก็บไว้ให้ห่างแสงแดด แต่ต้องแลกกับความยากที่จะนำออกมาใช้ หนำซ้ำยังไม่สามารถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียวอีกด้วย  กรณีที่มืออีกข้างใช้การไม่ได้แล้ว หรือต้องเอาปากคาบ และเอาหน้าผากกดจุดที่ผูกไว้ก่อนการขั้นเชนาะ ในสภาพที่น่าเวทนา

สายรัดห้ามเลือด รุ่น SOF Generation 1 ถูกใช้ใน Iraq

มีทูนิเก้ที่ผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำ เล่าเพียงสองแบบเท่านั้น ซึ่งแม้มันจะหยุดเลือดได้ไม่ดีที่สุด แต่มันได้รับการยอมรับว่า มันพร้อมที่สุดในการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่ในโรงพยาบาล เช่น ในสนามรบ หรือ อุบัติเหตุบนท้องถนน นั้นก็คือ CAT (Combat Application Tourniquet) และ SOFT-T (Special Operation Force Tactical Tourniquet) การทดสอบภาคสนามพบว่า มันสามารถใช้งานได้ง่าย แม้ผู้ใช้จะมีความรู้ทางการแพทย์น้อย หรือไม่มีความรู้เลย อีกทั้งมันยังใช้งานได้ง่ายในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง หรือผู้ใช้มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ ทูนิเก้ทั้งสองตัวนั้นมีการใช้งานและหน้าตาเหมือนกัน แต่ CAT นั้นมีแกนขันเชนาะเป็นพลาสติก ในขณะที่ SOFT-T นั้นเป็นโลหะ ซึ่ง CAT ได้ถูกบรรจุให้ทหารสหรัฐทุกคนต้องมีติดไว้ประจำตัว  ในขณะที่ SOFT-T นั้นได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำตัวหน่วยรบพิเศษสหรัฐ อย่างหน่วย Ranger ของกองทัพบก SEAL ของกองทัพเรือ และ ทีม PJ พลร่มของกองทัพอากาศ รวมไปถึงหน่วยงานชั้นแนวหน้าอื่นๆ เป็นต้น

หลังจากที่ทูนิเก้รุ่นใหม่นี้ได้ถูกทดลองใช้ในสภาพต่างๆกัน อย่างทะเลทรายและในเมือง ก็ยังพบว่ายังมีปัญหาทางด้านการออกแบบอยู่นั้นคือ CAT ที่เป็นแกนพลาสติกนั้นสามารถใช้ได้หลายครั้ง หากเป็นบาดแผลบนแขน แต่ไม่สามารถขันเชนาะได้แน่นพอ ที่จะหยุดเลือดบนบาดแผลที่ขาของผู้บาดเจ็บ กองทัพบกสหรัฐจึงได้แนะนำให้แพทย์สนามนำเอาทูนิเก้แบบ SOFT-T ที่มีแกนทำจากโลหะติดตัวไปเพิ่มเติมในกรณีที่ CAT นั้นล้มเหลว จากการรัดที่ต้องใช้แรงกดมากบริเวณต้นขา ซึ่งจะทำให้แกนพลาสติกแตกได้ หลังจากนั้นกลายเป็นว่า หน่วยอื่นๆในกองทัพสหรัฐได้รับทราบถึงจุดบกพร่องนี้ และทำการสั่งซื้อ SOFT-T มาแจกจ่ายใช้งานเองแทนที่ CAT ซึ่งเป็นพลาสติก อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เมื่อทหารนำเอา CAT มาใช้ฝึกซ้อมปฐมพยาบาลนั้น ก็เป็นอันเดียวกับที่เขาเอาไปรบ ดังนั้นแกนพลาสติกจึงเริ่มบิดงอ จากการซ้อมที่ทำเป็นประจำ และไปหักเอาตอนที่จะใช้งานจริงในสนามรบ เหตุนี้ผู้ผลิตจึงได้ออกแบบ CAT รุ่นสีฟ้า เพื่อใช้ในการฝึกซ้อมเท่านั้น เพื่อทหารจะได้ไม่สับสนเอาตัวซ้อมไปใช้งานจริง แต่ CAT เองก็ยังถูกใช้ในสนามรบในฐานะของทูนิเก้ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และไม่ต้องมาเสียเวลาล้างทำความสะอาด และฆ่าเชื้อเพื่อเตรียมนำกลับมาใช้ใหม่

SOFT-T ทูนิเก้นั้นมีการออกแบบมาให้ใช้งานได้คงทนกว่ามาก เพราะส่วนสำคัญของมันก็คือ แกนขันเชนาะทำมาจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา และมีความทนทานสูงมาก มันจึงถูกเลือกให้ใช้ทั้งกับบาดแผลบนขาที่หยุดเลือดได้ยากกว่า ซึ่งเป็นจุดที่ต้องใช้ทูนิเก้มากกว่าบริเวณอื่น เช่น บาดแผลจากการถูกยิง, การระเบิดจากกระสุนปืนค. การระเบิดจากระเบิดแสวงเครื่องต่างๆ และการบาดเจ็บจากแขนนั้น สามารถรักษาได้ง่ายกว่าขา โดยใช้เพียงการกดลงบนแผลโดยตรง ก็สามารถหยุดเลือดจากบาดแผลบริเวณแขนได้แล้ว

ในเมื่อ SOFT-T รุ่นแรกออกมาแล้ว บริษัทผู้คิดค้นและจำหน่ายอุปกรณ์ปฐมพยาบาลภาคสนาม อย่าง Tactical Medical Solutions จึงได้นำเอา SOFT-T มาพัฒนาต่อร่วมกับหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ เป็นรุ่น SOFTT-Wide (Special Operations Force Tactical Tourniquet – Wide)  ซึ่ง SOFTT-Wide นั้นได้นำเอาข้อดีของ CAT และ SOFT-T รุ่นแรกมาปรับปรุงและผสมผสานกัน และได้เพิ่มขนาดของแถบรัดขึ้นใหม่ แต่น้ำหนักเบากว่าเดิม ส่วนตัวล็อคก็ถูกออกแบบใหม่ให้มีการป้องกันการปลดหลุดเองโดยไม่ได้ตั้งใจ และมันก็ใช้งานง่ายในการพันรอบแขน หรือขาด้วยมือข้างเดียว หลังจากนั้นหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ ได้นำไปทดลองใช้โดยทันที และต่อมาได้ทำการบรรจุให้เป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบุคคลแทนที่ CAT และ SOFT-T โดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากใช้งานได้ครอบคลุมกว่า ทหารจึงไม่ต้องมาคอยพกทูนิเก้ทีละสองชนิดอีกต่อไป ซึ่งกองทัพบกสหรัฐเองก็เห็นข้อดีนี้ และกำลังปลดประจำการทูนิเก้และอุปกรณ์ห้ามเลือด ที่ไม่มีประสิทธิภาพรุ่นเดิมทิ้งทั้งหมด และกำลังเปลี่ยนมาใช้รุ่น สายรัดห้ามเลือด รุ่น Wide ด้วยเช่นกัน

สายรัดห้ามเลือด รุ่น SOF Wide

ทูนิเก้ในปัจจุบัน มีการออกแบบให้ดีขึ้นกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก และยังคงมีการพัฒนาต่อๆไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เบาขึ้น และใช้ง่ายขึ้นกว่าเดิม สายรัดห้ามเลือดได้ช่วยรักษาชีวิตทหารในอิรัค, อัฟกานิสฐาน และในสงครามต่างๆทั่วโลกเป็นประจำอยู่ในทุกวันนี้ เพราะการพัฒนาจากการเรียนรู้ข้อผิดพลาดในสนามรบ ที่แลกมาด้วยชีวิตทั้งสิ้น บทเรียนของกองทัพสหรัฐเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่ไม่ได้ทดสอบทูนิเก้อย่างถูกต้อง แต่กลับข้ามขั้นตอนไปแจกจ่ายให้ทหารนำไปใช้งานจริง ต้องแลกมาด้วยชีวิตทหารฝีมือดีๆที่อาสาไปออกรบมากมาย ซึ่งจริงๆแล้วสมควรจะได้รับโอกาสให้รอดตายและได้กลับบ้าน

สิ่งเหล่านี้จะเป็นบทเรียนที่กองทัพของเราต้องกลับมาทบทวนและศึกษา เพื่อหยุดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น อย่าคิดกันแต่เพียงว่า “บ้านเราก็ยังงี้แหละ ทำใจ” “กองทัพเราไม่รวยเหมือนเขา” หรือจะมีข้ออ้างใดๆ เพื่อใช้เลี่ยงการทุ่มเทและพัฒนา และหันมาถามตัวเองว่า ทำไมเราจะต้องไปซ้ำรอยเดิมของคนอื่น ในเมื่อเขาได้จ่ายราคาบทเรียนแสนแพงไปแล้วด้วยหลายชีวิต

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม อุปกรณ์ช่วยชีวิตเชิงยุทธวิธี ได้ที่ Safe House ครับ

Tags: , ,